วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554

พฤติกรรม และการแสดงออกของสุนัข

+พฤติกรรม และการแสดงออกของสุนัข+
พฤติกรรม และการแสดงออกของสุนัข มีวิธีการสังเกตดังต่อไปนี้
1. การมองเห็น ตำแหน่งตาอยู่ค่อนไปทางด้านข้างของหัว ช่วยให้เห็นภาพในมุม
กว้างกว่ามนุษย์ สุนัขจึงตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวได้รวดเร็วและมองเห็นในที่
มืดได้ดีกว่ามนุษย์เพราะเซลล์บริเวณจอตาซึ่งเป็นที่รวมแสง สุนัขเป็นสัตว์ที่ใช้ชีวิต
กลางคืน มีแสงไฟนิดหน่อยก็มองเห็นได้ สุนัขมองเห็นได้ไม่ไกล คือ ถ้าเกิน
100 เมตร ก็ไม่สามารถแยกออกได้ว่าใครเป็นใคร สุนัขมองเห็นได้แค่ 2 สี คือ ขาว
กับดำ ไม่ว่ามืดหรือสว่างก็ไม่เห็นสี
2. การดมกลิ่น เป็นการสื่อสารอย่างหนึ่งที่สุนัขใช้กันมาก สุนัขจะกำหนดเขตแดน
ของตนโดยการปัสสาวะบ่อยๆและการเกาหรือขีดข่วนพื้นเพื่อทิ้งกลิ่นเหงื่อจากต่อม
เหงื่อที่อุ้งเท้า นอกจากนี้ สุนัขยังชอบกลิ้งตัวไปตามพื้นเพื่อทิ้งกลิ่นตัวเองไว้
ประมาณว่า เราจองแล้วนะ การใช้จมูกดมตามพื้น หมายถึง การหาที่ขับถ่าย ส่วน
การเอาจมูกแตะกัน หมายถึง การที่สุนัขทำความรู้จักกัน เป็นการหยั่งเชิงซึ่งกัน
และกัน สุนัขสองตัว ไม่เคยพบกันมาก่อน แล้วจู่ๆมาเจอกัน สิ่งแรกที่จะแสดงออก
ถ้าไม่เห่า ก็คือการวิ่งเข้าหากันโดยเอาจมูกมาแตะกัน การเอาจมูกแตะกันอย่างนี้
เป็นพฤติกรรมทดสอบฝ่ายตรงข้ามเบื้องต้นว่ามาอย่างเป็นมิตรหรือศัตรู จากนั้น
จะผลัดกันดม เพื่อเพิ่มความคุ้นเคยและเป็นการจดจำกลิ่นซึ่งกันและกัน ถึงขั้น
ดมกลิ่นนี้ถือว่าสุนัขทั้งสองตัวเรียนรู้ได้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรูกัน ถ้าเป็นศัตรูกัน
ก็อาจเดินหนี้
สุนัขทุกชนิดมีความสามารถในการดมกลิ่นแต่บางสายพันธุ์มีประสาทการดม
กลิ่นพัฒนาไปมากกว่าสุนัขทั่วไป เช่น พันธุ์บลัดฮาวน์ด นอกจากใช้จมูกดมกลิ่น
แล้วยังมีเซลล์พิเศษในปากเพื่อรับกลิ่นด้วย สุนัขสามารถจำกลิ่นได้เป็นเวลานาน
และดมกลิ่นเลือดที่หยดลงในน้ำ 7.5 ลิตรได้และสามารถตามรอยเหงื่อจากรอยเท้า
ที่ทิ้งไว้เมื่อ 20 ชั่วโมงได้ สุนัขมีต่อมรับกลิ่นมากกว่ามนุษย์หลายล้านเท่า เช่น
มนุษย์มี 5 ล้านต่อม เยอรมันเชพเพิร์ดมีถึง 2100 ล้านต่อม
3. การได้ยิน โดยทั่วไปสุนัขจะมีประสาทรับเสียงที่ไวมากสามารถได้ยินเสียงคลื่น
ความถี่สูงกว่าที่มนุษย์ได้ยินจึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการล่าเหยื่อและการสื่อสาร
กับสุนัขอื่น นอกจากการฝึกสุนัขให้ช่วยนำทางคนตาบอดแล้ว เมื่อเร็วๆนี้ได้มีการ
ฝึกสุนัขเพื่อให้ช่วยคนหูหนวก โดยจะฝึกสุนัขให้รับรู้เสียงโทรศัพท์ แล้วบอก
เจ้าของให้มารับข้อความทางโทรศัพท์ผ่านทางคอมพิวเตอร์เป็นตัวอักษร
นักวิทยาศาสตร์ทดลองเอาลูกแก้วเล็กๆยกจากพื้นสูง 3 เซนติเมตร สุนัขยืนห่าง
ออกไป 24 เมตร ก็ยังได้ยิน สุนัขรู้ที่มาของเสียงได้แม่นยำกว่าคน สุนัขจับจังหวะ
เสียงเดินของเจ้าของได้ สุนัขสามารถได้ยินเสียงความถี่ต่ำกว่า 20 Hz และมากกว่า
20,000 Hz ซึ่งเป็นความถี่ที่มนุษย์ไม่สามารถได้ยินได้ สมัยก่อนสุนัขหูตั้ง พอคน
เอามาเลี้ยงหูเลยตกลงมา ทำให้รับเสียงได้ไม่ดี
4. การกินและการรับรส สุนัขไม่สามารถรับรสได้แต่อาศัยดมกลิ่น สุนัขต้องใช้ลิ้น
แตะอาหาร 1 วินาทีเพื่อให้รู้รสอาหาร ฟันน้ำนมของสุนัขจะเกิดเมื่ออายุ 20 วันและ
ขึ้นครบใน 6 สัปดาห์ หลังจากนั้น 3 เดือนก็จะเริ่มหลุดและฟันแท้ก็จะงอกแทน
สุนัขมีฟันน้ำนม 28 ซี่ ฟันแท้ 42 ซี่ สมัยก่อนสุนัขกินเนื้อจึงใช้เขี้ยวมากและยังใช้
เป็นอาวุธได้อีกด้วย
5. การเห่า เป็นพฤติกรรมปกติของสุนัข อาจเป็นการแสดงความตื่นตัวของสุนัข
และบ่งบอกถึงอาณาเขตครอบครองของตัวสุนัขและเป็นการข่มขู่ผู้ที่เข้ามาในเขต
ครอบครองของสุนัข ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นคนหรือสัตว์ การเห่าอาจเป็นอาการแสดง
ความยินดีหรือเป็นการสื่อสารของสุนัขกับสิ่งอื่น หรือเพื่อเชิญชวนให้มาร่วมเล่น
ด้วย หรือเกิดเนื่องจากสุนัขมีความสุข สุนัขจะเห่ามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์
เมื่อสุนัขอายุได้ 4-6 เดือน จะเริ่มเห่าอย่างมั่นใจ อาจจะเห่าอย่างไม่มีเหตุผลใน
บางครั้ง แต่สำหรับสุนัข ทุกครั้งที่เห่า นั่นแสดงว่า เกิดความแปลกหรือความผิด
ปกติขึ้น เช่น เสียงดังเข้าประสาทหูมัน กลิ่นแปลกๆจากสัตว์อื่น นอกจากนี้ การเห่า
ของสุนัข เป็นสิ่งที่ช่วยเตือนภัยให้เจ้าของบ้านด้วย
6. การเล่น โดยธรรมชาติสุนัขเป็นสัตว์สังคมและอยู่รวมกันได้ดี เนื่องจากมีการ
จัดลำดับฐานะความสำคัญในกลุ่ม สุนัขที่เลี้ยงไว้เป็นเพื่อนมักจะแสดงกิริยาต้อนรับ
โดยการแกว่งหางและอ้าปากเล็กน้อยเมื่อสมาชิกในครอบครัวกลับเข้าบ้านและมัก
จะส่งเสียงเห่าเบากว่าสุนัขประเภทล่าเนื้อเนื่องจากการเห่าเป็นลักษณะที่ไม่พึง
ปรารถนา
7. การติดต่อสื่อสาร สุนัขป่าจะสื่อสารกันด้วยการหอนซึ่งวิธีนี้ได้ถ่ายทอดและ
พัฒนาขึ้นมากในกลุ่มสุนัขเลี้ยงทางซีกโลกเหนือหรือสุนัขล่าเนื้อที่จะเห่าหอนใน
ขณะตามเหยื่อ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อนายพราน การแสดงออกส่วนใหญ่
ใช้หาง สุนัขไม่ชอบให้ใครจับโดนหางหรือหู สุนัขจะใช้หางเมื่อเวลาว่ายน้ำเหมือน
เป็นหางเสือเรือ ใช้หางเพื่อทรงตัวขณะเปลี่ยนทิศทางกระทันหัน สุนัขพันธุ์
บ๊อกเซอร์หรือเทอร์เรียร์จะถูกตัดหางหลังเกิด 4-5 วัน เพื่อให้เหมาสมในการออก
ล่าสัตว์ หางจะแสดงอารมณ์ต่างๆ เช่น กระดิกหาง หมายถึง การแสดงความรักและ
ดีใจ หางตั้งขึ้น หมายถึง การสงสัยอะไรบางอย่าง หางจุกตูด หมายถึง การแสดง
ความกลัวหรือยอมแพ้ เป็นต้น
8. การประกาศอาณาเขต ในสุนัขเพศผู้ การฉี่ทิ้งร่องรอยไว้เป็นสิ่งสำคัญมาก
เป็นการแสดงถึงอาณาเขตที่คุมอยู่ (เจ้าถิ่น) โดยจะยกขาขึ้นฉี่ที่ละเล็กน้อย จะไม่ฉี่
รวดเดียวเสร็จเพียงเพื่อทิ้งร่องรอยไว้เท่านั้น หากมีสุนัขอีกตัวมาดมแล้วก็ฉี่ทับก็
แสดงว่าสุนัขที่ฉี่ทับนั้นประกาศสงครามกับเจ้าของรอยฉี่เดิม แต่ในสุนัขเพศเมีย
แล้วจะฉี่รวดเดียวหมด ไม่ค่อยมีการฉี่ทิ้งร่องรอยแบบในเพศผู้ เว้นแต่ช่วงที่เป็น
สัดอยากผสมพันธุ์ สุนัขเพศเมียจะฉี่ทิ้งร่องรอยเพื่อรอตัวผู้มาให้เลือกคู่ การที่สุนัข
ยกขาข้างหนึ่งเวลาฉี่นั้น เป็นเรื่องที่คนไม่ควรเข้าไปแก้ไขเพราะนั่นคือธรรมชาติ
ของสุนัข
9. การยกขา สุนัขที่ยกขาหน้าขึ้นเป็นการแสดงเมื่อต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เชื่อว่า
พฤติกรรมนี้สืบเนื่องมาจากขณะที่เป็นลูกสุนัขแรกเกิด เนื่องจากเวลาดูดนมจาก
เต้านมของแม่ ลูกจะใช้เท้าพลิกหรือดันหัวนมแม่เป็นจังหวะ เป็นการกระตุ้นให้มี
น้ำนมไหล คือ ยังต้องการจะกินนมแม่อีก เมื่อโตขึ้นจึงมีพฤติกรรมเดิมหลงเหลือมา
แสดงกับคน
10 . การขุดและการกลบ พฤติกรรมการฝังกระดูกเป็นสัญชาติญาณของ
บรรพบุรุษของสุนัขเช่นกัน ซึ่งเป็นสัญชาติญาณของความอยู่รอดของสัตว์ป่า โดย
การถนอมอาหารเพื่อที่จะเก็บอาหารไว้กินยามขาดแคลน ถึงแม้ว่าสุนัขที่เลี้ยงใน
บ้านไม่ได้ขาดแคลนอาหาร แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะทิ้งนิสัยเดิมได้ ไม่เพียงแต่ฝัง
เศษอาหาร สุนัขบางตัวยังฝังของเล่นแล้วจะกลบอย่างประณีต บางตัวสามารถจดจำ
สถานที่ฝังได้อย่างแม่นยำแต่บางตัวก็ลืมสมบัติที่ฝังไว้
สุนัขที่มีนิสัยชอบขุดหรือขีดข่วนบนพื้นแข็งพื้นห้องแสดงถึงความกระตือรือร้น
ที่จะสร้างที่นอนอันสบายให้ตัวเอง ซึ่งพฤติกรรมนี้สามารถพบเห็นได้จากการที่สุนัข
ชอบไปนอนในตะกร้าและสิ่งแรกที่ทำก็คือการขีดข่วนเพื่อเป็นการจัดที่นอน
พฤติกรรมนี้เมื่อย้อนไปในอดีต เป็นสัญชาติญาณเพื่อความอยู่รอด
11. การเลีย สุนัขจะแสดงความรักต่อเจ้าของได้โดยการเลียหรือที่เราเรียกว่า
"เลียประจบ" สุนัขอาจจะเลียแข้งเลียขาไปจนถึงเลียหน้าเจ้าของ เราถือว่าเป็นการ
เลียเพื่อแสดงความรัก ความเป็นมิตรกัน เป็นสัญชาติญาณจากบรรพบุรุษของสุนัข
ทุกตัวนั่นเอง
12. การกัดและไล่ล่า สุนัขเป็นสัตว์ที่ไวต่อสิ่งเร้ามากกว่าคนถึง 10 เท่า
การตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หากสุนัขถูกเลี้ยงดูอย่างไม่
ค่อยเอาใจใส่ดีนัก เช่น ถูกตีบ่อยๆ หรือเจ้าของขังไว้ในกรงบ่อยและนานๆ บางคน
ชอบเตะสุนัข ถ้าหากสุนัขตัวใดเจอสภาวะเหล่านี้บ่อยเข้า ก็จะแสดงอาการต่อต้าน
เจ้าของและต่อต้านบุคคลอื่น สุนัขตัวอื่นหรือสัตว์อื่นๆได้เสมอ ทำให้ควบคุมสุนัข
ได้ยากขึ้น
การเดินเข้าหาสุนัขที่ก้าวร้าวจะต้องเดินเอาข้างของลำตัวเข้าหา ถ้าเอาด้านหน้า
หรือเดินเข้าไปตรงๆ สุนัขจะเข้าใจว่าไปท้าทาย จากนั้นก็เอาแขนยื่นออกไปข้าง
หน้าเพื่อหันความสนใจของสุนัขออกจากตัวและขาของเราด้วย สำหรับสุนัขที่ชอบ
วิ่งไล่คนหรือวิ่งไล่รถจักรยาน หรือคนที่เมื่อเจอสุนัขแล้วชอบวิ่งหนีนั้น เป็นการ
จุดชนวนให้สุนัขวิ่งไล่ขึ้นไปอีก การที่สุนัขวิ่งไล่เรานั้นเพียงแค่อยากจะหยุดเรา
ชั่วครู่เท่านั้น เพราะตามสัญชาติญาณ เมื่อฝ่าเท้าถูกกระตุ้นให้วิ่ง ย่อมหมายถึงว่า
จะต้องมีการล่าเกิดขึ้น แต่จะประสบผลสำเร็จหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น